วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
เซียนหูทองมาเยี่ยมบ้าน
การมีเซียนมาเยี่ยมบ้านนับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนสองคนนี้คือคนที่ทำให้วงการหูฟังไทยต้องปั่นป่วนมาแล้ว ในวงการHeadFi ไทยนั้นชื่อของ "สายไม้เอก" นั้นก่อให้เกิด controversy กันขนานใหญ่ หลังจากมีการท้าชนทุกกรณี และส่วนใหญ่ก็ชนะด้วยสิ ยิ่งทำให้ชื่อของ "ไม้เอก" เด่นไม่เป็นรองใครขึ้นมาทันที แถมด้วยค่าตัวที่เรียกว่า "ไม่คิดจะขาย" คือสายเส้นสั้นกว่าคืบ พี่แกเล่นตั้งราคาไล่แขกที่ 5,000 บาท ยิ่งทำให้ "ไม้เอก" เป็นสิ่งที่เรียกว่าเหล่านักเล่นทั้ง "เกรียน" และ "หูทอง" ต่างก็ให้ความสนใจเข้ามาทดลองและวิจารณ์ (พวกเกรียนนั้นไม่ได้ฟังก็วิจารณ์ได้)กันอย่างกว้างขวางมากๆ(แปลแบบบ้านๆเค้าเรียกว่า ทะเลาะกัน)
ชื่อของนักเล่นระดับหูทองฝังเพชร (ถ้าฝังมุกนั่นก็.....ตัวใครตัวมัน)ก็คือ ท่าน ชิม จ้า และท่าน โส่ย Chim Rexx ทั้งสองท่านนี้คือผู้สร้างตำนานสายเทพของคนไทย ชนิดที่ว่า ไม่ได้ฟังก็อย่าเกรียน ของแบบนี้ To Hear is to Believe จริงๆ ส่วนที่ต้องคาดตาไว้เพราะท่านทั้งสองอยากจะสงวนใบหน้าไว้ เพราะโจทย์เยอะ เนื่องจากไปตบพวกเกรียนไว้เยอะ กลัวมันจะมาเอาคืน
ประสบการณ์เล่นของท่านทั้งสองนี้นับว่า โชกโชน เครื่องแบบดังๆเทพๆ ผ่านมือ ผ่านหู ท่านทั้งสองมาเยอะ หากมีโอกาสจะขอไปบุกตะลุยรังเสือถ้ำสิงห์ แล้วนำเอาความยิ่งใหญ่ออกมาตีแผ่นะคร้าบ แต่บอกไว้แผลมๆว่า ชุดระดับ ล้าน+++ นะคร้าบ
นอกจากเอาสาย ไม้เอก มาให้ผมลองที่บ้านแล้ว เสี่ยชิม จ้า ยังอุ้มเอา Pre Amplifier ที่ใช้หลอดจู๋สุนัข มาอีกเครื่องหนึ่ง หน้าตาบอกตามตรง หาความงดงามไม่มีเลย แต่หากพิจารณาว่ามันเป็นเครื่องระดับต้นแบบ ไม่ได้มีไว้ขาย ก็พอกล้อมแกล้ม แต่ที่เรียกได้ว่าเด็ดขาดทที่สุดก็คือ เสียงของมันนี่แหละที่ให้ความลื่นไหล งดงาม แบบที่ไม่เคยได้ยินจาก ชุดของตัวเองมาก่อน เสี่ยชิมบอกว่า ช่างมือทองผู้ประกอบเครื่องนี้ขึ้นมานั้นพิถีพิถันอย่างสุดๆ(เฉพาะเรื่องเสียง)นะ อันนี้คิดว่า ถ้าได้รับการออกแบบทางด้าน Industrial Design ดีๆ น่าจะแหล่มกว่านี้มาก
ส่วนสายไม้เอกนั้น ถ้าเป็นความยาวอย่างที่เสี่ยทั้งสองเอามาให้ผมลองฟัง ว่ากันว่า ราคาขายสำหรับคนที่ไม่รู้จักกันนั้น 4 ครับ 4พัน? ไม่ช่ายค้าบ 4 หมื่น จ้ากกกกกกกกกกก................................................................... ท่าทางจะบ้าไปแร้ว
แต่รู้หรือไม่ว่า ฟังไปท่อนเดียว เพลงเดียวก็ต้องอึ้งว่า เฮ้ยนี่มันขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย โอ้ จ้อดดดดดดดดด
ถามว่าทำด้วยอะไรวะ เสี่ยก็บอกว่า "กูไม่รู้" อ้าวเฮ้ยยยยไหนบอกทำเองไง? คือเสี่ยเค้ามีคนเอามาทำให้ครับ รู้เพียงเลาๆว่า เป็นสายที่ได้มาจากการตัดซากเรือดำน้ำ อันนี้จริงเท็จประการใด ไม่ขอยืนยัน แต่ที่แน่ๆสำหรับเครื่องเสียงแล้ว สิ่งเดียวที่ matter most สำมะคันที่ซู้ดก็คือเสียง เพราะสายไม้เอกนี้ แม้จะดูก๊อกแก็ก แต่เรื่องเสียงนั้นอึ้งไปเลย นี่ถ้าบอกว่าแอบไปตัดสายไฟรถบังคับวิทยุมาทำสงสัยขำกลิ้งแน่
เกรียนไม๊เกรียน ของอย่างนี้รอการพิสูจณ์นะคร้าบ ส่วนผมขอเก็บสายไม้เอกไว้ทดลองก่อน ของแบบนี้อ้อยเข้าปากช้าง ง้างออกยากครับ
วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
Hifi Shops in Bangkok
หากจะกล่าวถึงย่านเครื่องเสียงในกรุงเทพฯแล้วนั้นเราก็อาจจะแบ่งออกได้หลายชนิด แน่นอนว่าเครื่องเสียงแบบ 2 Channels นั้นได้ตายสนิทจากแผนกเครื่องเสียงห้างไปเรียบร้อยโรงเรียน Home Theater ไปหลายปีแล้ว และเด็กรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ก็ไม่สน Hifi Seperated หรือเครื่องเสียงแยกชิ้น กันเสียด้วยเพราะตกเป็นเหยื่อของ MP3 หรือดีหน่อยก็ iPod ซึ่งก็หันไปคบหาตกร่องปล่องชิ้นไปกับหูฟังกันหมด ซึ่งผู้นำของศิลป์การขายหูฟังในประเทศนี้เห็นจะไม่มีใครเกิน www.munkonggadget.com ไปได้ เพราะด้วยลีลาการขายหูฟังระดับ "พระกาฬ" แต่ละชนิดของเขาเล่นเอาผู้อ่านเคลิบเคลิ้ม ตกหลุมรักเฮียมั่นคงกันถ้วนหน้าตั้งแต่เด็กหัดฟังไปจนถึงผู้ใหญ่วัยเกษียณ เรียกได้ว่า เฮียมั่นคงเจ้าของเอกลักษณ์ หัวโล้น แว่นดำ หมวกลุง สะพายกระเป๋าหน้ากาก Gas Mask รุ่น Indiana Jones นี่แหละตัวจริงเสียงจริงในยุทธจักรหูฟัง ใครอยากรู้ว่าหูฟังที่มีนามว่า "พระกาฬงานเหล็ก" "พระกาฬเรียกพ่อ" นั้นเป็นยังไงก็ต้องแวะไปชมเว็ปแกซะหน่อย ส่วนร้านแกก็มีหลายสาขา ลองแวะไปดูก็แล้วกัน ที่ใกล้ๆในเมืองก็เห็นจะเป็น Digital Gateway @ Siam Square นั่นเอง
แต่เดิมนั้นดงเครื่องเสียงนั้นอยู่ที่ โซโก้ หรืออัมรินทร์พลาซ่า ตรงแยกราชประสงค์ ซึ่งก็ไม่ได้ไปเดินหลายปีแล้ว ที่เห็นหลงๆเหลือๆอยู่ก็เป็นแบบระดับเริ่ดๆ พวก Martin Logan, Revel อะไรทำนองนั้น
มีช่วงนึงราวๆ 7-8 ปีมาแล้ว กลุ่มผู้ค้าเครื่องเสียงแบบแจ๋วๆก็รวมตัวกันย้ายไปรวมกันที่แถวๆสุขุมวิท ซอย 2 ตึกชื่ออะไรก็จำไม่ได้แล้ว แต่สะดวกมากๆที่จะเข้าไปทีเดียวมีร้านค้าเป็น 10 ร้าน แต่ด้วยการณ์เปลี่ยนไปก็ย้ายกันอีกรอบ คราวนั้นย้ายไป อยู่ตึกโรบินสันเก่าหลัง BigC ราชดำริ ใช้ชื่อกันว่า HiFi Center ดูโก้เก๋ไม่เบา คราวนี้สมบูรณ์ลงตัวเพราะ ทั้ง 4 ชั้นนั้นเป็นเครื่องเสียงชั้นดีครบทุกชั้น ชอบมากๆ แต่ในที่สุดก็พบว่า โลก Hi Fi มันตายไปแล้วจริงๆ ต้องแยกย้ายกันไปตามระเบียบ(อีกรอบ)
แต่ก็อย่างว่า โลกของ Hi Fi 2 Channels มันตายไปแล้ว เป็นโลกที่น้อยคนนักจะเข้าถึงเรียกได้ว่า จับคนไทยมาสัก 100 คน คงมีแค่ 5 คนเองมั้งที่มีเครื่องเสียงระดับแยกชิ้น ยิ่งเป็นแบบ Hi End น่าจะเหลือแค่ 1-2 คนเองมั้ง (นี่มองโลกในแง่ดีแล้วนะ) เมื่อเทียบกับจำนวนคนที่เอาเงินไปซื้อชุด Home Theater น่าจะมีมากกว่า 14-15 คน ส่วนคนเล่นเคร่ือง MP3 พกพาน่าจะมีถึง 40 คนด้วยซ้ำ ทำให้รายรับของร้านที่ขายเครื่องเสียงจริงๆมัน......พระกาฬเรียกไปเฝ้าจริงๆ
ที่เป็นราชันย์ของย่านร้าน Hi Fi ก็เห็นจะไม่พ้น KS&Sons ที่เปลี่ยนแผนไม่ร่วมเกาะกลุ่มกับร้านเครื่องเสียงแล้ว แต่เน้นเปิดร้านในห้างหรูๆระดับท้อปๆ เน้นลูกค้ากระเป๋าหนักๆ เพราะของเค้าขายนั้นราคาระดับรถยนต์หรือคอนโดไปโน่น อาทิ McIntosh จาก USA , MBL จากเยอรมนี และ Sonus Faber จากอิตาลี พบเจอได้ที่ Siam Paragon & Crystal Design Center
ซึ่งในห้างอย่าง Paragon นั้นเครื่องเสียงพวก Lifestyle ดูจะไปได้ดีกว่าเพื่อนอาทิ BOSE และ Bang& Olufsen ส่วนเครื่องจากญึ่ปุ่นเองก็กระจายตัวไป
บอกตามตรงว่า ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าร้านค้ามากมายเหล่านั้นจะกลับมารวมกันเป็น อาณาจักร HiFi ได้อีกทีเมื่อไร แต่ที่แน่ๆมีสถานที่หนึ่งที่น่าจะเข้าข่ายอาณาจักรเครื่องเสียง และผมก็ไปเดินประจำนั่นก็คือ Fortune Town นั่นเอง
สำหรับท่านที่ไม่รู้ว่า Fortune มีอย่างอื่นนอกจาก Computer Computer และ Computer นั้น ชั้น 3 ฝั่งไปทางโรงแรม Mercure นั้นเป็นโลกของเครื่องเสียงและอุปกรณ์นะครับ
ร้านเครื่องเสียงที่ Fortune นั้นมีหลากหลายรูปแบบ แต่ที่แน่ๆไม่มีแบบบ้านๆแบรนด์ญี่ปุ่นแน่ๆ เค้าเน้นเครื่องซีเรียสกันครับ มีให้เลือกทั้งแบบมือหนึ่ง และมือสอง รวมไปถึง สายสัญญาน สายลำโพง อุปกรณ์ปรับสภาพ Acoustic และแผ่นเสียงไวนีล นานาชนิด
ร้านที่ผมและไปบ่อยๆก็คือ "สวนเสียง" ผู้แทนจำหน่าย เครื่องเล่นแผ่นเสียงยี่ห้อ Project, VPI, Nottingham Analoque และสุดยอดลำโพง Broadcast Monitors จากประเทศอังกฤษแบรนด์ Harbeth รวมไปถึงลำโพงเยอรมันเสียงอัศจรรย์อย่าง Duevel และแอมพ์ทั้งระดับหนุ่มใหญ่นิยมอย่าง Creekและ ระดับป๋าอย่าง Conrad Johnson ร้านบรรยากาศง่ายๆสบายๆ พี่ที่ร้านก็ดูเก๋าๆดี ชิลล์ๆ ที่แวะไปบ่อยไม่ได้แวะไปซื้อหรอก แต่เอาเครื่องที่มีอยู่ไปซ่อม เพราะร้านนี้แกมีบริการซ่อมด้วยครับ (ที่เห็นในรูปนั่นแหละพี่สุดเก๋าที่ผมว่าแหละ จะพบแกนั่งอยู่กับ Laptop ของแกทั้งวันนั่นแหละ)
อีกร้านที่ไปบ่อยก็คือ Bom Bom ร้านขายสายลำโพง ที่ของเยอะ แต่หากจะมานะครับ ร้านเปิดสายมากนะครับ บ่ายโมงยังไม่เปิดเลย และปิดวันจันทร์ด้วย ช่างในร้านไม่ค่อยพูดค่อยจานะครับ ถ้าจะหวังบริการเป็นกันเองก็ต้องเข้าใจว่าพี่แกกันเองแบบของแกนะครับ อย่าคิดมาก แต่งานดีนะครับ ราคาก็ OK
ใกล้กันนั้นก็จะมีร้านของ PRS หรือ HiFi Club ซึ่งเชี่ยวชาญงาน Acoustic ห้องฟัง บรรยากาศร้านอาจไม่น่าเข้าเพราะเจ้าของร้าน ออร่า แรง ถ้าไม่เข้าไปซื้อก็อย่าเดินเข้าไปเลย
อีกร้านก็คือ เปเล่ ซึ่งเปิดน้อยกว่าปิด มีของดีๆเพียบร้าน แต่จะเปิดให้คุณเข้าไปเดินเล่น ลองฟัง มันแล้วแต่ดวงนะ เพราะเห็นอยู่หลัดๆว่าเปิด หันหลังให้แป้บเดียวมันปิดอีกแล้ว ใครชอบเล่นของแรงๆร้านนี้มีเยอะ ทั้งมือหนึ่งมือสอง
อีกหนึ่งที่มีของมือสองเจ๋งๆเต็มร้านก็คือ ฺBangkok HiFi ใครชอบของมือสองต้องร้านนี้เลย แต่ราคาไม่ถูกนะ เพราะของคัดครับ ซี้ดๆทั้งนั้น จะหาของญี่ปุ่นถูกๆไม่มีหรอกครับ แต่ถ้าจะหา Quad, Mark Levinson, Dynaudio, Marantz Vintage มือสองต้องนี่เลย ร้านมีเด็กเฝ้าร้านสองคน คนนึงตัวดำๆผอมๆใส่แว่น ท่าทางจบเพาะช่าง ไอ้นี่พูดจากวนบาทามาก มะนาวไม่มีน้ำ ไม่มีมารยาท แต่ถ้าคุณโชคดี (ซึ่งเชื่อว่าส่วนใหญ่คุณจะโชคร้าย)จะได้พบกับน้องอีกคนชื่อว่า "ใบไผ่" เห็นชื่อน่ารัก มันเป็นผู้ชายนี้แหละครับ แต่คนนี้ Service Mind เกินร้อย คุยสนุก ความรู้เพียบ คุยกับใบไผ่นานๆเข้ารับรองว่าเสียตังค์ ที่ร้านนี้ไม่ได้ตังค์ผมซะทีก็เห็นจะเป็นว่าส่วนใหญ่ผมจะเจอไอ้กร้วกเพาะช่างซะมาก ฮ่า ฮ่า อย่าหวังว่าจะตังค์กูเลย ร้านนี้มีของเด็ดอีกอย่างก็คือ Digital Music Server ที่คิดค้นขึ้นเอง น่าใช้มากๆครับ ติดที่แพงไปหน่อย แต่ดีน่ะดีแน่ๆ
รอบๆร้าน Bangkok Hi Fi ก็จะเป็นร้านขายแผ่นเสียงซึ่งมีการแบ่งกันนะครับ ร้านนึงก็จะแนว Jazz Classic ส่วนอีกร้านเน้นแนว Rock, Heavy Metal จำชื่อไม่เคยได้เพราะไม่ได้เล่นแผ่นเสียงนี่เอง
เดินลึกเข้าไปอีกหน่อยก็จะเจอกับร้าน Nik's Studio ตัวแทนจำหน่ายลำโพง Reference 3A และแอมพ์ Antique Sound Lab รวมถึงมหากาฬลำโพงอีกหลายรุ่น ร้านนี้ดำเนินการโดยคุณ ณัษฐ์ ผู้ซึ่งบอกตามตรงมีวาจาที่เย็นชา แดกดันและกวนบาทา ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าไอ้เด็กเพาะช่างนั้นสักเท่าไร แค่เปลี่ยน version และ Rhythm จากRock&Rolls มาเป็นแบบ Classic เท่านั้นเอง นี่ขนาดเป็นลูกค้าอุดหนุ่นไปหลายตังค์แล้วยังกวนไม่เลิก ผมคิดว่าจะเลิกเดินเข้าแล้วล่ะ
ลึกเข้าไปอีกจนสุดกำแพง คุณจะพบกับ Hi Fi Hut และน้องคนดูแลสุดหล่อ ขาว ตี๋ มีการศึกษา แต่งตัวเนี้ยบ พูดจาเย็นชานิดๆ คิดว่าคงไม่ค่อยได้เจอผู้คนเท่าไร (ฮ่า ฮ่า) ร้านนี้เค้าขายอุปกรณ์ Tweak หรืออุปกรณ์เพื่อการ โมดิฟายอัฟพลังเสียง มีทั้งแบบพอจะมีสาระ และแบบไม่น่าจะมีสาระหลายชนิด
จริงๆก็มีอีกหลายร้านนะครับ แต่จำชื่อไม่ได้ เพราะไม่เคยเดินเข้าไป
ปัญหาของร้านเครื่องเสียงที่เจอส่วนใหญ่ก็คือ ไม่รู้ว่าเขาอยากจะขายของรึเปล่า ทำไมไม่รู้คัดแต่ตัวกวนๆมาดูแลร้าน ซึ่งก็เชื่อว่าน่าจะดูแลได้ดีนะ เพราะเครื่องที่โชว์อยู่น่าจะอยู่ครบ ไม่มีคนเอากลับบ้าน ฮ่าฮ่า
หวังว่าที่แอบด่าไป จะไม่มีใครแถวนั้นรู้นะว่าผมเป็นใคร ไม่งั้นเดินๆอยู่อาจจะหัวแตกได้ 555
Speaker set up, vertical or horizontal?
การจัดวางลำโพง ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องง่ายๆ เชื่อหรือไม่ว่า เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ลำโพงบางคู่จากที่เคยได้ยิน "เขาเล่าว่า" มันยากเสียเหลือเกินที่จะหาตำแหน่งที่สมบูรณ์ได้เป๊ะๆ อย่างลำโพง Totem Model 1 นั้นมีตำนานว่าในห้องเล็กๆขนาด 4x6 เมตรนั้น Totem คู่หนึ่งเคยเดินทางไปๆมาๆในห้องนั้นร่วมกิโลเมตร!!!! ฟังดูโคตะระโม้ ไอ้เกล้ากระผมเองก็ไม่เคยที่จะต้องทำอะไรแบบนั้นมาก่อน เพราะส่วนใหญ่นั้นบอกตามตรงว่า ฟังไม่ออก นิดๆหน่อยๆเราก็ทนกันไปไม่ถึงกับแย่นัก อย่าง Reference3A Veena ของผมนั้นก็รู้สึกนิดๆเรื่องการวางใกล้ผนังเพราะเบสจะมากไปนิด ส่วนเรื่อง Toe in, Toe out นั้นก็ไม่ได้ serious อะไรกัยมันมากมายนัก เพราะมันไม่ใช่รถยนต์
แต่กับลำโพงบางคู่มันโคตะระชัดเจนเลยคะร้าบ
ลำโพงที่ว่านั้นก็คือเจ้า "Vintage" Technics SB X5 ของผมนั่นเอง เพราะขนาดรูปพรรณสัณฐานความสูงของมันนั้นเป็นแบบลำโพงยุค 70's 80's ทั่วไปคือ กว้างๆแบนๆ และสูงประมาณ 60 ซม. ก็เลยต้องมีขาตั้งเตี้ยๆมาประกอบการใช้งาน ซึ่งก็น่าจะสูงซักประมาณ 30 ซม. แต่เนื่องจากขี้เกียจจะซื้อใหม่ให้มันเปลืองก็เลยงัดของเก่าคือ ขาเดิมๆที่จ้างช่างเฟอร์นิเจอร์ทำให้ใช้กับลำโพงคู่แรกของชีวิตคือ Polk Audio Monitors 7 ที่สูงราวๆ 20 กว่าเซนติเมตร เมื่อรวมกับ Tip Toe อีกหน่อยก็ได้ความสูงราวๆ25เซนติเมตร ก็ดูแล้วลงตัวทางสายตาดี
สิ่งที่ได้รับก็คือ เสียงดีพอประมาณ มีเบสอู้ๆบ้าง ซึ่งเราก็คิดว่ามันก็เป็น charactor ของลำโพงอยู่แล้ว
แต่มีผู้มาเปลี่ยนความคิดและทัศนะของผมไปอย่างสิ้นเชิงก็คือ พี่หนุ่ย จาก Siam Subaru เจ้าแห่งเครื่องเสียงสรรพเพเหระ ผู้มีลำโพงมากมายนับ 20คู่ ทั้งดีทั้งเพี้ยนคละเคล้ากันไป ใครอยากรู้จักเรื่องของพี่หนุ่ย รับรองว่าต่อๆไปผมจะเอาเรื่องของพี่แกมาเล่นให้ฟังไปเรื่อยๆ
หลังจากที่มาแวะฟังเครื่องเสียงของผมที่บ้านเพราะแกอยากสัมผัสทั้ง Reference3A Veena และเจ้า Vintage Technics พอได้ทดลองไประดับหนึ่งแกก็เสนอว่า "ลองม่ะ" ลองอะไรเหรอพี่? "ลองจับมันวางนอนดู!" เฮ้ยเอาจิงดิ!!!
แกให้เหตุผลว่า ลำโพง Technics นี่ดูโหวงเฮ้งคชลักษณ์ทั้งหลายแล้ว ดูมันเหมือนลำโพง Studio Monitors น่าจะลองวางมันแบบที่ Sound Engineer เค้าวางกันดู ว่าแล้วแกก็สำรวจว่าเรามีขาลำโพงแบบสูง60 เซนติเมตรเก็บอยู่บ้างไหม ซึ่งบังเอิญว่ามีเก็บอยู่คู่นึงพอดี
การทดลองได้เริ่มขึ้นแบบไม่ได้คาดหวังอะไรนัก นอกจากหวังว่าอย่าให้มันตกลงมาแตกกระจายเลยเพี้ยง!!!
"โอ้วววววว นี่มันแจ๋วเลยนี่นา " คือความรู้สึกแรกที่ได้ลองใช้ยาสีฟันเดนทิสเต้ อะจ้าก.....ไม่ใช่ คือความรู้สึกแรกที่ได้ฟัง Deep Purple ผ่านลำโพงในท่านอน เสียงที่เปล่งออกมาชัดมากๆๆๆๆๆๆ เบสออกเป็นลูกๆ ไม่มีอู้ ไม่มีท้อ ไม่มีบวม มีแต่พลังที่ "สด" และ"มันส์" เราทั้งคู่ต่างอึ้งกับผลที่ได้รับ และหลังจากนั้นเพลงแล้วเพลงเล่า ทั้ง Classic อย่าง Stravinsky Firebird, Jazz อย่าง Herbie Hancock, Vocal อย่าง Norah Jones ต่างก็ทยอยกันเข้ามาสร้างความรื่นรมย์และความเร้าใจแบบไม่มีให้หยุดพัก เรียกได้ว่า ผลที่ได้นั้นดีเว่อร์ๆ เพราะตำแหน่งของ Driver ทุกตัวนั้นอยู่ในระนาบเดียวกันหมด จับมันมา Toe In นิดๆ เสียงที่มันสาดเข้ามาเรานั้นชัดเสียจนอยากจะร้องว่า ยูเรก้า กันเลยทีเดียว เพราะความมันส์ของมันทำเอาลำโพงแพงๆอย่าง Reference 3A ดูจ๋อยไปเลย
เสียอย่างเดียวว่าถ้าขืนวางแบบนี้ถาวรจริงๆ มันจะดูเฮี้ยนไปหน่อย และอาจโดนใครสักคนที่ไม่แน่ว่าอาจเป็นตัวของเราเองก็ได้เดินไปสอยมันตกมากองแอ้งแม้งให้ขายหน้าได้ เลยต้องสงวนไว้สำหรับการทดลองฟังเท่านั้นไม่เหมาะกับการใช้งานในคอนโดเล็กๆทั้งปวง
ลองดูนะครับ บางทีการทำอะไรไม่ติดกรอบ อาจจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คุณต้องอ้าปากค้างก็ได้ ใครจะรู้
ปล. นายแบบสุดหล่อนั่นล่ะครับ พี่หนุ่ยแหละ อิ อิ
ป้ายกำกับ:
Reference3A,
Speaker Placement,
Studio Monitors,
Technics
วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
Vintage Style Speaker
กระแสต่างๆในวงการเครื่องเสียงมันดูหลากหลายดีเหลือเกินพี่น้องค้าบ กระแสหนึ่งก็ไปในทิศทางของ Convergent Technology คือ iPod กับ Computer เป็นหลัก เพลงอะไรๆก็ download กันเข้ามาเก็บไว้ใน Hard Disk
ไอ้กระผมเองก็เริ่มที่จะไปทางนี้กับเขาด้วยเหมือนกัน เพราะว่าสามารถหาเพลงเจ๋งๆได้ในราคาประหยัด ที่ว่าประหยัดน่ะคือ จ่ายแค่ค่าไฟ กับค่าแผ่นเปล่า ก็ได้เพลงดีๆมาเก็บไว้เล่นกันสบายอุรา
อีกกระแสหนึ่งก็คือการนำเอาของเก่าๆกลับมาปัดฝุ่นกันใหม่ เล่นของย้อนยุคกัน บอกตรงๆคิดกันแทบตายกว่าจะได้ของใหม่ที่ดีขึ้นๆๆๆๆๆ แต่ไหงคนเราถึงกลับไปหาของเก่าๆที่สมัยก่อนโยนทิ้งไว้ในห้องเก็บของกัน
นั่นน่ะสินะ
คงเป็นเพราะของใหม่ๆมันชัดไปมั๊ง? บอกตรงๆสมัยก่อนตอนที่ฟังเครื่อง receiver Fisher ของคุณพ่อนั้น เสียแม่งสุดจะ่ห่วยอู้อี้มาก ไม่เห็นเจ๋งเลย
แต่เอ เห็นคนเค้าเล่นเยอะจัง ผมเองก็สงกะสัย ก็เลยต้องลองไปหามาเล่นกะเค้ามั่ง
แว้บแรกที่ทำให้ผมต้องคิดกันใหม่คือเสียงของ Klipsch Forte ของคุณอา จริงๆก็เห็นมาตั้งนานแล้วล่ะ แต่พอได้ยินเสียงไวโอลินมันโหมพร้อมๆกัน โอ้วแม่เจ้าเสียงมันฉับไว ดุดัน เบสที่เต็มเปี่ยม อย่างที่ลำโพงใหม่ๆทำไม่ได้เลยนี่ หรือว่านี่คือ Vintage
มาศึกษาดูอีกทีถึงแน่ใจว่า นั่นไม่ใช่ Vintage อย่างเดียวดอก มันคืออาณุภาพผลรวมของ Horn Midrange+Tweeter +Driver Bass+Passive Radiator+high sensitivity มันถึงออกมา่ได้เสียงแหล่มเป็ดขนาดนั้น
หันกลับมามอง คิดดูแล้วก็ หาลำโพง3 ทาง ดอกbassใหญ่ๆมาเล่นดูจะเป็นไรว่ะ!!!
แต่ครั้นจะเบิกเงินก้อนโตมาเล่นเลยก็ใช่ที่ นั่นแหละคือที่มาของ Technics SB X5 ของกระผมในวันนี้
ด้วยงบเพียง 5.5 พัน ท่านก็จะได้ลำโพง 3 ทาง อายุ 33 ปี มาในครอบครอง
หลายๆคนบอกว่าเฮ้ย 33 ปี ยังขายได้ตั้ง 5 พัน แม่นแล้ว ลำโพงบ่ไจ่คอมพิวเตอร์เน้ออ้าย คอมพ์อายุ 10 ปี ก็เป็นขยะอิเล็คโทรนิคส์แล้วอ้าย
Technics รุ่นนี้เห็นครั้งแรกในเว็ป www.thevintageknob.org ซึ่งสมัยก่อนใช้ง่ายดูสบาย แต่ตอนนี้ไฮเทคเกิ้น ดูไม่รู้เรื่องซะแล้ว การเจอะเจอครั้งแรกในฐานข้อมูลของคุณ Axel นั้นเรียกได้ว่าหน้าตาของลำโพงจากยุค 70's นี้โดนใจผมซะจริงๆ
SB X5 นั้นเป็นลำโพง 3 ทางชนิด Phase Correction คือออกแบบให้มีความเพี้ยนเรื่อง Phase ต่ำที่สุด ว่าเป็นภาษาบ้านก็คือกะที่จะให้เสียงจากลำโพงทั้ง 3 ดอกเดินทางถึงหูเราพร้อมกันมากที่สุดเท่าที่ทำได้ วิธีการก็คือวางลำโพงลดหลั่นต่ำแหน่งกันไป
ผลลัพธ์ที่ได้นะเหรอ บอกตามตรงไม่รู้ว่าต่างกันตรงไหน ถ้าจะต่างคงต้องเกิดเป็นค้างคาวกระมัง :-)
แต่ที่ชอบก็คือ Technics (National ที่เรารู้จักนั่นแหละ) เค้าหมกหมุ่นเรื่องนี้มาก เรียกได้ว่า รุ่นหรูๆระดับนักเล่น Audiophile นั้นมาแนวนี้กันทุกตัว แถมการประกอบก็แจ่มมาก ไม่เหมือนลำโพงบ้านๆทั่วไปนะจะบอกให้ ของอย่างนี้ต้องมาดูเองใกล้จะเห็น
เสียงที่ได้เหรอ? ขำมากที่จะบอกว่าวันแรก ต่อกับแอมพ์หลอด VTL ผลที่ได้ห่วยแตก!!! อู้อี้สุดๆ แต่เบสอิ่มดี ฟังเพลงเก่าๆเพราะดี แต่เพลงใหม่ๆอย่างห่วย
เศร้าอ่ะค้าบบบบบ รู้สึกโคตรเสียดายเงิน......T__T
นี่เหรอวะ Vintage Sound ควายแท้!!!!
แต่วันต่อๆมา นึกคึกเอา Amp Tas Monoblock มาต่อเล่นดู เฮ้ย!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เสียงดีขึ้นอย่างเหวอ ไม่ได้อคติ เหวอจริงๆ ไม่รู้ทำไม
จะว่าแรงแอมพ์เยอะหว่าเหรอ ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เคยอ่านๆดูเค้าว่าแอมพ์หลอดไม่เหมาะกับโหลดต่ำๆ (6 Ohms) และ Crossover แบบซับซ้อน ( 3 ทาง) ก็อาจจะจริง เพราะลำโพงสำหรับแอมพ์หลอดส่วนใหญ่เป็นแบบ Full range ดอกเดียว หรือไม่ก็ 2 ทางนี่หว่า
เสียงจาก แอมพ์ทรานซิสเตอร์ Class A ของ TAS ทำเอาติดใจเลยพี่น้อง เพลงต่างๆแม้จะมีข้อติจากเรื่ืองเบสอู้ๆบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมน่าฟังมากครับ
ก็เลยนึกคึกหยิบเอา AVI S2000MA ตัวปัญหามาลองต่อเล่นดู เฮ้ยยยยย เป็นเรื่อง เสียงมันดีนี่หว่า เอาแล้วซิ!!! ไปๆมาๆ มันก็เสียงดีเหมือนกัน หลงเขียนเมล์ไปด่าอีตา Ashley James อยู่ตั้งหลายฉบับ 555
ตอนนี้ก็เป็นช่วงรื้อกลับมาต่อกันใหม่ สนุกสนานมาก ใครอยากมาลองก็บอกนะจ๊ะ
แต่พ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)